ซีเนดีน ซีดาน ยืนยันว่ายังต้องการกลับมาทำผู้จัดการทีมอีกครั้ง หากได้โอกาสและสโมสรที่เหมาะสมกับแนวทางการทำงาน
และแฟนบอลชาวฝรั่งเศสคงอยากให้เขาเลือกรับงานคุมทีมปารีส แซงต์แยร์กแมงมากที่สุด
เพราะ “ซิซู” เป็นเหมือนตำนานที่มีชีวิตสำหรับแฟนบอลแดนน้ำหอม จากผลงานที่ช่วยให้ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกในฟร้องซ์’98
และเวิลด์ คัพ 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพถือเป็นหนึ่งในฟุตบอลโลกครั้งที่ดีที่สุด มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย เป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์มาโชว์ฝีเท้าคับคั่งไม่น้อยกว่าเวิลด์ คัพ 1990 ที่ประเทศอิตาลี
ฟร้องซ์’98 เป็นฟุตบอลโลกที่มีทีมผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายเพิ่มขึ้นเป็น 32 ทีมเป็นครั้งแรก และแบ่งการแข่งขันรอบแรกเป็น 8 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และทีมอันดับ 1 และ 2 ในแต่ละสายจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบสอง
หนึ่งในเกมที่ถือว่าเป็นสุดยอดของเกมเร้าใจและมากสีสันคือการแข่งขันในรอบสอง “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา เอาชนะ “สิงโตคำราม” อังกฤษในการดวลจุดโทษ 4-3 หลังเสมอในเวลา 2-2 นอกจากลูกยิงโซโล่ของไมเคิล โอเว่น ที่ถูกกล่าวขวัญถึงแล้ว ก็คือการที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง “เดวิด เบ๊กแฮม” โดนใบแดงไล่ออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 47
อิตาลีจอดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่าย “เจ้าภาพ” ฝรั่งเศส ในการดวลจุดโทษ เป็นการกระเด็นตกรอบในฟุตบอลโลกด้วยการพ่ายจุดโทษเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ 3 ติดต่อกันต่อ โดยก่อนหน้าพ่ายอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลก 1990 และพ่ายบราซิลในฟุตบอลโลก 1994
ดาวเด่นในฟร้องซ์’98 เป็น ซีเนดีน ซีดาน อย่างไม่ต้องสงสัย จอมทัพผู้มีเชื้อสายแอลจีเรียโดดเด่นมาตั้งแต่นัดแรกควบคู่ไปกับโรนัลโด้กองหน้าทีมชาติบราซิล “โล้นทองคำ” ยิง 4 ประตูช่วยให้บราซิลเข้าชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส
นัดชิงชนะเลิศของฟร้องซ์’98 มีอะไรให้พูดถึงมากมาย ช่วงแถลงข่าวก่อนเตะไม่มีชื่อของโรนัลโด้ลงสนามแต่พอเริ่มเตะกลับมีชื่อของดาวยิงคนดังลงสนาม แต่ปรากฏว่ากองหน้าวัย 21 ลงสนามเหมือนคนป่วยแทบไม่มีส่วนร่วมกับเกมเลย
“ซิซู”ทำสองประตูให้ฝรั่งเศสถล่มบราซิล 3-0 คว้าแชมป์โลกไปครองเป็นครั้งแรก ในขณะที่โรนัลโด้เหมือนมีอาการ “ป่วยลึกลับ” โดยไม่ทราบสาเหตุ และยังเป็นปริศนามาถึงทุกวันนี้
ฟรองซ์’98 มีจำนวนเกมทั้งหมด 64 เกม ยิงได้ทั้งหมด 171 ประตู เฉลี่ย 2.67 ประตูต่อนัด โดยเกมที่ยิงประตูกันมากที่สุดคือสเปนชนะบัลแกเรีย 6-1 ดาวซัลโวสูงสุดคือ ดาวอร์ ซูเคอร์ ของโครเอเชียที่ยิงได้ 6 ประตู จำนวนผู้ชมในสนามรวม 2,785,100 คน