“ดีเอโก้ มาราโดน่า” กับเรื่องลับที่น่ารู้ !!
หากให้เลือกนักเตะที่คู่ควรกับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมตลอดกาลในสายตาของแฟนบอลในรอบ 50-60 ปีที่ผ่านมา นอกจากเปเล่ อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิลผู้พาทีมคว้าแชมป์โลก 3 สมัยแล้วก็คงไม่มีใครเกินหน้า “เสือเตี้ย” ดิเอโก้ มาราโดน่า ผู้พาทีม “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1986 ไปได้อย่างแน่นอน การเสียชีวิตของมาราโดน่าในวัย 60 ด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาจึงถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการลูกหนังทั่วโลก
“เสือเตี้ย” นักเตะหุ่นมะขามข้อเดียว ผู้เล่นฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายถือว่าเป็นอัจฉริยะลูกหนัง มีลีลาการเล่นที่เปี่ยมสีสัน และนอกสนามก็ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง มีทั้งด้านดีและด้านร้าย มีทั้งแฟนบอลรักและศรัทธา แต่ก็มีแฟนบอลบางส่วนเกลียดขี้หน้าเช่นกัน แต่พูดถึงเรื่องฝีเท้า ทุกคนย่อมเคารพและเห็นด้วยว่าเป็นหนึ่งในตำนานหมายเลข 10 ที่หาใครเทียบได้ยาก
มาราโดน่า เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 ในย่านสลัม ที่กรุงบูเอโนสไอเรส ในอาร์เจนติน่า เป็นลูกคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คน ในครอบครัวที่ยากจน แต่สิ่งที่ได้มาไม่เพียงความยากจนแต่ยังมีพรสวรรค์ลูกหนังอย่างเอกอุ แค่10 ขวบก็ได้อยู่ในทีมทีมเยาวชนของอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพตอนอายุไม่เต็ม 16
มาราโดน่า เล่นให้อีกหลายทีมโดยย้ายจากอาร์เจนติโนส จูเนียร์สไปอยู่กับโบคา จูเนียร์ส และย้ายไปเล่นในยุโรปกับบาร์เซโลน่า แต่มาโด่งดังอย่างแท้จริงก็คือย้ายไปร่วมทีมนาโปลีในอิตาลี ในช่วงปี 1984-91 พาทีมได้แชมป์ 5 รายการ เป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตจากนั้นย้ายกลับมาอาร์เจนติน่า ร่วมทีมกับนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ และเล่นให้โบคาอีกรอบก่อนแขวนสตั๊ดในปี 1995-98
ส่วนผลงานกับทีมชาติอาร์เจนติน่า มาราโดน่า ลงเล่นในสีเสื้อ “ฟ้าขาว” ไปทั้งหมด 91 นัด ยิงได้ 34 ประตู พาทีมคว้าแชมป์โลกในปี 1986 ที่เม็กซิโก
ตลอดชีวิตของ มาราโดน่า สร้างตำนานไว้มากมาย ขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
ไล่เตะคู่แข่งหลังเกม
ในช่วงที่ค้าแข้งกับบาร์เซโลนาเป็นเวลาสองปี ในนัดชิงชนะเลิศโคปา เดลเรย์ 1984 กับทีมแอธฯบิลเบา ปรากฏว่าหลังเกมสร้างความอื้อฉาวด้วยกระโดดเตะใส่คู่แข่งหลังเกม
คำพูดในฐานะพ่อ
มาราโดน่ามีเมียและลูกหลายคน และเขาก็ไม่ได้ปิดบังว่านอกสนามเขามีพฤติกรรมที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง และเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า “ผมมีลูกที่ถือว่าถูกกฎหมายก็คือดัลมาและจิอันนิน่า ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะเงินหรือความผิดพลาดของผมเอง”
ยิงปืนใส่ผู้สื่อข่าว
เป็นที่รู้กันดีว่า “เสือเตี้ย” เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้สื่อข่าว และมีอยู่ครั้งหนึ่งในปี 1994 ที่เขาไม่พอใจที่นักข่าวรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขา จึงไล่กลุ่มผู้สื่อข่าวที่รุมล้อมอยู่หน้าบ้าน และใช้ปืนยิงใส่จนนักข่าวบางคนได้รับบาดเจ็บ
หัตถ์พระเจ้า
นอกจากความเยี่ยมยอดในฝีเท้าแล้วสิ่งที่เป็นตำนานติดตัวของเขาก็คือ “หัตถ์พระเจ้า” ซึ่งเกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ มาราโดน่า ทำประตูด้วยการชกบอลผ่านปีเตอร์ ชิลตัน เข้าประตูไป โดยนายทวารทีมชาติอังกฤษโวยว่า มาราโดน่า ทำแฮนด์บอล แต่กรรมการไม่เห็น แล้ว “เสือเตี้ย” บอกว่าประตูนั้นคือ “หัตถ์พระเจ้า”
สถิติอันน่าทึ่ง
มาราโดน่า สร้างสถิติไว้มากมายทั้งในทีมชาติและระดับสโมสร และในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย นับตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมาเขาเป็นผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดถึง 8 แอสซิสต์จากการลงเล่น 21 เกม และมีสถิติยิงได้ 8 ประตู และเมื่อรวมสถิติยิงประตูและแอสซิสต์ทำให้เขาติดอันดับ 5 ที่มีผลงานดีที่สุดในการยิงประตูและแอสซิสต์ (รวม 16 ประตู)
ไอดอลของเมสซี่
แม้ว่าไลฟ์สไตล์ของ ลิโอเนล เมสซี่ และ ดิเอโก้ มาราโดน่า จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมสซี่ ก็ยอมรับว่า มาราโดน่า คือนักเตะต้นแบบของเขา “ตอนที่ผมย้ายมาอยู่กับอาร์เจนติน่า มีคนพูดว่าผมคือนิว มาราโดน่า ผมอาจไม่ชอบฉายานั้น แต่ความจริงก็คือผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ถูกยกย่องเทียบเท่ากับเขา การจากไปของมาราโดน่าคือวันที่น่าเศร้าของชาวอาร์เจนติน่าและแฟนบอลทั่วโลก อย่างไรก็ตามเขาจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป”
ความยอดเยี่ยมของ ดิเอโก้ มาราโดน่า จึงเป็นตำนานที่คงหาใครเทียบได้ยาก