สำหรับศึก UEFA Champions League Season 2021/22 แน่นอนว่าการเข้าชิงชนะเลิศระหว่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอดทีมแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นคู่บอลที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก แต่ทว่ากว่าที่ทั้งสองทีมจะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่างก็ฝ่าฟันอุปสรรคกับเกมการแข่งขันที่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยอดทีมแห่งเมืองสเปน ที่บอกได้เลยว่ารอบ 4 ทีมสุดท้ายที่พวกเขาสามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอดทีมแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปได้ 3 – 1 ซึ่งเป็นเกมสุดมันส์ที่ ซานติอาร์โก เบอร์นาเบว สนามแทบแตกกับลูกยิงตีไข่แตก พร้อมกับยิงขึ้นนำ (โรดิโก้) และปิดกล่องด้วย คาริม เบนเซมา
ในห้วงเวลานี้ต้องเรียกได้ว่า “ราชา” แห่ง เบอร์นาเบว คือ “ราชันชุดขาว” ที่แท้จริงหลังจากที่ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่ง เรอัล มาดริด เขี่ย ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตกรอบ และถ้าหากจะย้อนกลับไปในรอบ 16 ทีมเกมแรก เรอัล มาดริด แพ้ให้กับ ปารีส ตัวเต็งจากลีกน้ำหอมแบบหมดรูป และแน่นอนว่าจากสถิติและรูปแบบการเล่นกับเกมในนัดแรกที่ ปารีส มีโอกาสยิงถึง 21 ครั้ง แต่ทว่า เรอัล มาดริด มีโอกาสยิงเพียงแค่ 3 ครั้ง ซึ่งถ้าหากมาเล่นนัดที่ 2 ในบ้านของ เรอัล มาดริด ทั้งความได้เปรียบของ ปารีส พร้อมกับรูปแบบการเล่น และศักยภาพของทีมในตอนนั้น ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก็คงจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ไม่อยาก (นัดแรก ปารีส 1 – 0 มาดริด) แต่สำหรับ ซานติอาร์โก เบอร์นาเบว ก็คือนรกขุมแรกที่ “ราชันชุดขาว” ได้หยิบยื่นให้กับยอดทีมแห่งลีกเอิง หลังจากที่ คาริม เบนเซมา ตอกฝาโลงด้วย 3 ลูกฉฮตทริกเขี่ยยอดทีมแห่งลีกเอิงตกรอบทันที ด้วยสกอร์รวม 3 – 1 ในเกมที่ 2 และประตูรวม เรอัล มาดริด 3 – 2 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
ส่วนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเกมนัดแรกดูเหมือนว่า เรอัล มาดริด ที่พวกเขาบุกไปเยือนแชมป์เก่า เชลซี ในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์ จะไม่ใช่เรื่องยากเพราะว่า มาดริด เก็บชัยชนะเหนือ เชลซี 3 – 1 แต่ทว่าในเกมที่สองที่ต้องมาเล่นใน เอบร์นาเบว เหล่าบรรดาพลพรรค “สิงห์บลู” ยิงขึ้นนำ เรอัล มาดริด ถึง 3 – 0 และแน่นอนว่าโอกาสที่ เชลซี จะผ่านรอบ 8 ทีมสุดท้ายมีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ โรดรีโก้ และ คาริม เบนเซมา ก็ช่วยกันไล่ต้อนทีมเยือนจนจบอยู่ที่สกอร์ มาดริด 2 – 3 เชลซี และสกอร์รวมมาดริด 5 – 4 เชลซี และ ซานติอาร์โก เบอร์นาเบว แห่งนี้ก็คือนรกขุมที่ 2 ที่เขี่ยเชลซี ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
และรอบ 4 ทีมสุดท้ายซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเกมสุดมันส์และ เบอร์นาเบว ก็คือขุมนรกของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้ง และเกมแรก เรอัล มาดริด แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4 – 3 “เรือใบ” กุมความได้เปรียบ 1 ลูก และโอกาสเข้ารอบของ แมน ฯ ซิตี้ มีถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และ ริยาด มาห์เรซ ก็ยิงขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 73
แต่แน่นอนว่าด้วยมนต์ขลังของ ซานติอาร์โก เบอร์นาเบว ที่ปลุกพลังทั้งนักเตะและเสียงเชียร์ของแฟนบอล โรดรีโก้ ยิงตีเสมอในนาทีที่ 90 (1 – 1) ก่อนที่ โรดรีโก้ คนเดิมจะยิงประตูขึ้นนำในอีก 1 นาทีต่อมา (2 – 1) และแน่นอนว่าสกอร์รวมของ เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ที่ 5 – 5 และ คาริม เบนเซมา กองหน้าเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่ยิงทุกนัดนับตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายจนถึงเกมรอบ 4 ทีมนัดที่ 2 เบนเซมา ก็ยิงจุดโทดในนาทีที่ 95 ตอกฝาโลงเขี่ย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบด้วยสกอร์รวม เรอัล มาดริด 6 – 5 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเรียกได้ว่านับตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย จนถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย “เบอร์นาเบว” คือขุมนรกของจริงที่ทีมเยือนจากลีกต่าง ๆ และเป็นตัวเต็งถ้วยใบใหญ่ในยุโรป ต่างก็ต้องผิดหวังถ้าหากมาเยือน เรอัล มาดริด