เมื่อศึกคาราบาว คัพ (เยอร์เกน คล็อปป์) คงไม่ได้ซีเรียสกับการจัดตัวผู้เล่นมากมาย และถึงแม้ว่า คล็อปป์ จะจริงจังแต่สำหรับกลุ่มผู้เล่นตัวหลัก ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 และได้รับอาการบาดเจ็บ ก็ยังคงอยู่ในโรงหมอหลายราย โดยเฉพาะ เวอร์จิล ฟาน ไดค์จ ที่ไม่ได้ลงสนาม เพราะติดโควิด – 19
นั่นจึงทำให้แผงกองหลังคู่เซนเตอร์ เป็นของ บิลลี่ คูเมดิโอ และ โจ โกเมซ ยืนจับคู่กันลงสนาม และครึ่งแรกพวกเขาทั้งสองก็เฝ้าแผงหลังได้แบบรั่วไหล หลังจากที่ปล่อยให้ วาร์ดี้ กองหน้า “จิ้งจอก ซัดไปถึง 2 ลูก และ แมตติสัน อีก 1 ลูก ครึ่งแรกลิเวอร์พูล โดนไป 3 เม็ด
แต่ทว่าหากจะประเมินสถานการณ์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่คือ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าพลังไดนาโม ที่เลี้ยงแหวกในทุกสถานการณ์ของแนวรับ ซึ่ง โจ โกเมซ เพิ่งหายเจ็บกลับมา และ คูเมดิโอ ก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ ซึ่งการที่ ลิเวอร์พูล โดน 3 เม็ด ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ก่อนที่ในนาทีที่ 46 ครึ่งหลัง เยอร์เกน คล็อปป์ จะส่ง อิบราฮิมา โกนาเต ลงสู่สนาม เพื่อประคับประคองสถานการณ์ และครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ก็ไม่โดนแม้แต่ลูกเดียว ก่อนที่กลุ่มผู้เล่นแนวรุกจะไล่ถล่มจนตีเสมอ 3 – 3
ซึ่งถ้าหากจะตัดเกรดแข้ง “หงส์แดง” พวกเขาก็คงจะโฟกัสไปที่ แชมเบอร์เลน ที่ยิงประตูตีไข่แตก และตามมาด้วย โชต้า ที่ยิงประตูที่ 2 และ มินามิโนะ ที่ยิงประตูตีเสมอลูกที่ 3 กับกลุ่มผู้เล่นที่ดวลจุดโทษชนะ
แต่อย่าลืมไปว่า ถ้าหากไม่มี โกนาเต ลงในช่วงครึ่งเวลาหลัง “หงส์” อาจจะไม่มีโอกาสดวลจุดโทษกับ “จิ้งจอกสยาม” ก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่ โกนาเต ลงสนามเพื่อประคับประคองสถานการณ์ในแดนหลัง ทีมก็ไม่ได้เสียประตู และเกมรุกก็ดูดีขึ้น เพราะไม่ต้องมาพะวงหลัง เหมือนกับช่วงครึ่งแรกก่อนที่ โกนาเต จะถูกส่งลงมา และนี่อาจจะหมายถึงคุณภาพอันคับแก้วของ โกนาเต ก็เป็นได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาของ คล็อปป์ ต้องขอยกนิ้วโป้ให้จริง ๆ ในช่วงครึ่งเวลาหลัง ที่พวกเขาเปิดเกมบุกได้อย่างเต็มที่ และคงคาดเดาได้ไม่ยากว่า หลังจากที่ โกนาเต ลงสู่สนาม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป และนี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า แผนงานที่ คล็อปป์ จัดทัพลงสนาม ไม่ว่าจะอยู่ในชุดเล็กหรือว่าชุดใหญ่ และเมื่อประสบปัญหาก็ยังคงมีแบ็คอัพอย่าง โกนาเต คอยลงประคับประคองทีมให้ผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ด้วยดี