Manchester City กำลังขับเคี่ยวไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ Liverpool กันอย่างเข้มข้น หลังจากเกมเสมอกัน 2-2 ประตู ทำให้เหลืออีก 7 เกมที่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กัน โดย “เรือใบสีฟ้า” มีแต้มนำ “หงส์แดง” เพียงแต้มเดียวเท่านั้น
Manchester City เล่นได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้เพราะแท็คติก แผนการเล่นของ Pep Guardiola อย่างแท้จริง เพราะทีมไม่มีผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่ชดเชยด้วยแผงมิดฟิลด์ที่ครบเครื่อง เป็นกองกลางที่สอดขึ้นไปทำประตูสำคัญให้กับทีมได้ทุกคน
แต่น่าเสียดายที่ในแผงห้องเครื่องนั้นคนหนึ่งที่เป็นเพียงส่วนประกอบนั้นก็คือ Jack Grealish เจ้าของค่าตัว 100 ล้านปอนด์
และเป็นเจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ของสโมสร
ถามว่าอดีตกัปตันทีม Aston Villa ล้มเหลวในทีม “เรือใบสีฟ้า” ก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะบอกว่าไม่ดีกับความคาดหวังกับการเป็นนักเตะร้อยล้านปอนด์น่าจะถูกต้องกว่า
นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในอังกฤษที่ทำให้คนรู้จักเขาก็คือภาพลักษณ์นอกสนาม จีบสาว เข้าผับ เมาเหล้า และรวยมาก
โดยล่าสุดได้เซ็นสัญญาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ให้กับ “Gucci” แบรนด์เนมชื่อดังของอิตาลี รับรายได้ก้อนมหาศาล และค่าเหนื่อยที่เขาได้รับคือสัปดาห์ละ 230,000 ปอนด์
ตอนนี้ศัตรูสำคัญของเขาก็คือความกดดัน
“เรายังต้องเรียนรู้ ต้องพร้อมที่จะรับมือกับช่วงเวลาที่ดีและเลวร้ายที่จะถาโถมเข้ามา การกระโจนเข้ามาในวงการฟุตบอลก็เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา เพราะมันจะมีทั้งขึ้นและลง”
Grealish บอกว่าคนที่ให้คำแนะนำนี้แก่เขาคือ Steve Burns อดีตโค้ชอะคาเดมีของ Aston Villa ที่ระบุว่า “ความกดดันเป็นเหมือนสิทธิพิเศษ”
“ความกดดันเป็นเรื่องใหญ่ในวงการฟุตบอล และมีราคาที่ต้องแลก และคุณจะต้องมีทัศนคติที่ถูกต้อง ผมอาจจะหนักกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ผมย้ายมาด้วยค่าตัวแพงมหาศาล และยังเป็นนักเตะอังกฤษอีกต่างหาก สื่อมวลชนพยายามใช้มือกดไหล่ของคุณไม่ให้ยืนขึ้นได้”
เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่เหมือนกัน ตอนที่เล่นอยู่กับ “สิงห์ผยอง” เขาเป็นเพลย์เมคเกอร์ เป็นกัปตันทีม และมีบทบาทในทีมมาก และทำให้ติดทีมชาติอังกฤษไปสู้ศึก Euro 2020 และช่วยให้ทีมผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ
“แน่ละมันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผม และรู้สึกอบอุ่นตลอดเวลาที่อยู่ร่วมทีม แต่ทุกอย่างจบลงด้วยความผิดหวังเมื่ออังกฤษพลาดแชมป์เพราะพ่ายในการดวลจุดโทษ”
และเมื่อเริ่มต้นนับหนึ่งกับสโมสรใหม่ยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่
Jack Grealish เติบโตมาจากอะคาเดมีของทีม “สิงห์ผยอง” ตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ และใช้เวลานานกว่า 7 ปีกว่าจะก้าวขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ การย้ายทีมจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“มันเป็นเวลาที่ผมต้องก้าวเดินต่อไป ออกมาจากเซฟโซน และเมื่อผมย้ายมาที่นี่มีหลายอย่างที่ยากกว่าที่คิดไว้มาก”
ความยากที่ยากกว่าเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษก็คือ ในทีมใหญ่อย่าง Manchester City มีนักเตะมาหลายเชื้อชาติ และมีนักเตะอังกฤษอยู่เพียง 4-5 คนเท่านั้น และต้องใช้เวลาอยู่อีกพักใหญ่เพื่อเรียนรู้และปรับตัว และรู้สึกทึ่งผู้เล่นอย่าง Gabriel Jesus และ Fernandinho ที่สามารถพูดได้ 3-4 ภาษา
แต่ที่หนักหนากว่านั้นก็คือต้องเรียนรู้ปรัชญาการทำทีมจาก Pep Guardiola
Grealish มีอิสระในการเล่นอย่างเต็มที่ในทีม Aston Villa ในยุคของ Dean Smith และเป็นหัวใจในแนวรุกของทีม แต่ในทีม “เรือใบสีฟ้า” เขาเป็นเพียงฟันเฟืองชิ้นหนึ่งเท่านั้น มีอิสระในการเล่นน้อยลง ต้องเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมทีมให้มากขึ้น
“การเล่นของผมต้องละเอียดมากขึ้น มันก็ยากอยู่แหละตอนเริ่มต้น แต่ตอนนี้ผมเริ่มสนุกที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ แน่นอนว่าคนอาจจะคิดว่าผมยิงประตูหรือแอสซิสต์น้อยเกินไป แต่ผมคิดว่าตัวเองเล่นได้ดีขึ้นนะ”
เขารู้ดีว่าฤดูกาลแรกเป็นการเริ่มต้น แต่ก็มองไปถึงอนาคตข้างหน้าอย่างมีความหวัง เพราะ Pep ใส่ใจลูกทีมทุกคนดีมาก
“เขาเป็นผู้จัดการทีมที่เหลือเชื่อมาก คลั่งไคล้ศาสตร์ลูกหนัง ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเกมฟุตบอล และเขาช่วยผมได้มาก”
แผนการเล่นของ Pep ที่ฉลาดลึก คาดเดาได้ยาก และพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์เป็นเสมือนของเล่นใหม่ที่อดีตกัปตัน Aston Villa รู้สึกเหมือนได้เปิดโลก
แต่ถามว่าความต้องการในขณะนี้ของ Grealish คืออะไร
“แน่นอนว่าการได้ติดทีมชาติอังกฤษไปเล่นเวิลด์ คัพ แต่ที่อยากได้มากกว่านั้นก็คือได้แชมป์ร่วมกับ City”
เพราะการเลือกมาอยู่กับ “เรือใบสีฟ้า” ก็คือการได้แชมป์รายการใหญ่ทั้งแชมป์ลีกและ Champions League
ความกดดันที่โถมทับดูเหมือนจะเป็นแรงขับให้ Jack Grealish ยกระดับการเล่นของตัวเองเสียมากกว่า