ขึ้นปี 2021 ได้ไม่กี่วัน สถานการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกก็ทำท่าจะเปลี่ยนแปลงทันที เมื่อ “หงส์แดง” Liverpool ออกไปพลาดท่าพ่าย “นักบุญ” Southampton 0-1 ประตู แม้จะยังเป็นจ่าฝูงอยู่แต่มีแต้มเท่ากับ Manchester United แถมยังแข่งมากกว่า 1 นัดอีกด้วย
Danny Ings อดีตดาวยิงของ “หงส์แดง” เป็นคนทำประตูชัยให้ Southampton และใช้เวลาเพียง 1.51 นาทีก็ทำประตูได้ และเป็นการทำประตูที่ 50 ในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย และเมื่อนับจากต้นฤดูกาลที่แล้วเขายิงไปได้ 26 ประตูโดยไม่มีการยิงจุดโทษเลย นับเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกยุคนี้
ในขณะที่ Ings เป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง ผู้แพ้ในทีม “หงส์แดง” คงไม่มีใครเกิน Trent Alexander–Arnold แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษที่เล่นผิดพลาดจนทำให้ทีมเสียประตูเดียวในเกมนี้ และตลอดเกมก็ทำสถิติเสียบอลถึง 38 ครั้ง เป็นอันดับที่ 16 ในสถิติในพรีเมียร์ลีก
สถิติน่าผิดหวังอีกอย่างในเกมนี้ก็คือ Liverpool ยิงเข้าเป้าเพียงครั้งเดียว น้อยกว่า Ings ที่มีโอกาสยิงถึง 2 ครั้ง (และเป็น 1 ประตู)
ถึงตอนนี้ลองมาส่องดูสิว่าสำหรับเส้นทางลุ้นแชมป์ของพรีเมียร์จะมีใครบ้างที่มีสิทธิ์เข้าป้าย เพราะตอนนี้สถานการณ์คู่คี่เหลือเกิน จนยากจะมองว่าใครจะเข้าวิน
“หงส์แดง” มีดีกรีเป็นแชมป์เก่า และสถานการณ์ในตอนนี้มี 33 แต้มจาก 17 นัดนำเป็นจ่าฝูงอยู่ ขุมกำลังก็ถือว่าแกร่งทั่วแผ่น แถมมีกุนซือมือฉมังอย่าง Jürgen Klopp คุมทีมอยู่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ตลอดเวลา และ Mohammed Salah กองหน้าทีมชาติอียิปต์ก็ยืนยันแล้วว่าจะอยู่ในถิ่น Anfield ต่อไป
ปัญหาอย่างเดียวของยอดทีมจากถิ่น Merseyside ก็คือในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก เพราะทั้ง “Virgil van Dijk – Joe Gomez” บาดเจ็บยาวหมดสิทธิ์ช่วยทีมในฤดูกาลนี้ Fabinho หรือแม้แต่ Jordan Henderson แม้จะเล่นในตำแหน่งนี้ได้ดี แต่ก็ไม่ใช่กองหลังอาชีพ การแก้ไขปัญหาก็คือซื้อกองหลังเข้ามาเพิ่มในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเปิดขึ้นอีกครั้ง
หลังจากออกสตาร์ตฤดูกาลอย่างย่ำแย่ การเล่นที่ไม่ลงตัวทำให้สถานการณ์ของ “Ole Gunnar Solskjær” ไม่มั่นคงทำท่าจะโดนปลดอยู่หลายรอบ แต่ผลงานยามเล่นเป็นทีมเยือนอันเยี่ยมยอด และการมี Bruno Fernandes เป็นจอมทัพที่ทำได้ทั้งยิงประตู-แอสซิสต์ ทำให้ตอนนี้ “ผีแดง” กลายเป็นทีมที่เขย่าบัลลังก์แชมป์ของ Liverpool อย่างเต็มตัว นับตั้งแต่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา Manchester United มีสถิติชนะถึง 8 ใน 10 เกมในลีก
ปัญหาอย่างเดียวก็คือ “Bruno” เป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว เพลย์เมคเกอร์ชาวโปรตุกีสลงเล่นเกือบทุกนัด และเมื่อนัดไหนบาดเจ็บหรือเป็นตัวสำรองเกมรุกของทีมจะด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ปัญหาก็คือ Bruno Fernandes จะสามารถลงเล่นได้ทุกนัดที่เหลือในฤดูกาลได้หรือไม่
3. Tottenham Hotspur
“ไก่เดือยทอง” ไม่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการใหญ่มาหลายปีแล้ว แต่การเข้ามาของ José Mourinho เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง Tottenham Hotspur ไม่ใช่ทีมที่เล่นเกมน่าเบื่อต่อไป เกมมีความสมดุลมากขึ้นทั้งรุกและรับ และมีจุดแข็งในแนวรุกคือการประสานงานระหว่าง Harry Kane กับ Son Heung Min ซึ่งช่วยกันยิงช่วยกันจ่ายจนกลายเป็นสถิติทำประตูที่น่าทึ่ง
ปัญหาของ “ไก่เดือยทอง” ก็คือ ขุมกำลังสำรองที่ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เมื่อนัดไหน José Mourinho ถอดตัวจริงแล้วใส่ตัวสำรอง ผลการแข่งขันมักเกิดพลิกผันได้อย่างเหลือเชื่อ และหากต้องการลุ้นแชมป์ไปจนถึงโค้งสุดท้ายก็ต้องภาวนาให้ Kane กับ Son Heung Min เจ็บไปเสียก่อนด้วย
“เรือใบสีฟ้า” เริ่มต้นฤดูกาลอย่างกระท่อนกระแท่น แนวรับก็อ่อนยวบ แต่ Pep Guardiola ทำงานอย่างใจเย็น แนวรับได้ Rúben Dias กับ John Stones ที่เข้าขากันเป็นอย่างดี แถมยังมี Aymeric Laporte เป็นตัวสอดแทรกอีก
ในเกมที่บุกไปเอาชนะ Chelsea 3-0 ถึงถิ่น Stamford Bridge เป็นเกมที่ดีที่สุดของ Manchester City ในฤดูกาลนี้ ครองบอล ต่อบอลทำเกมรุกได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้าอยู่ในทีมเลย เป็นฟอร์มที่พร้อมจะกลับมาลุ้นแชมป์อีกครั้งอย่างแท้จริง
ปัญหาอย่างเดียวของ “เรือใบสีฟ้า” ในตอนนี้ก็คือผลงานยิงประตูที่ตกต่ำอย่างน่าใจหาย โดยฤดูกาลนี้เพิ่งทำไปได้ 24 ประตูเท่ากับ West Ham และเป็นรองทีมอย่าง Southampton, Everton หรือแม้แต่น้องใหม่อย่าง Leeds United หวังว่าการกลับมาลงเล่นอีกครั้งของ Sergio “Kun” Agüero จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
เส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020-21 นับว่าเข้มข้นยิ่งนัก