เข้ามาอยู่ในกระแสของกองหน้าระดับฝีเท้าเวิร์ลคลาสในวงการลูกหนังยุโรป อีกครั้ง หลังจากที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่ย้ายออกจาก “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในซีซั่นที่ผ่านมา และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับยอดทีมแห่งศึก กัลโช เซเรีย อา เอซี มิลาน ในซีซั่นนี้ และแน่นอนว่าผลงานของ ชิรูด์ หลังจากที่เจ้าตัวสวมเครื่องแบบให้กับ “ยักษ์ใหญ่แดงดำ” แห่งลีกอิตาลี ก็ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งในปัจจุบันนี้ ชิรูด์ อยู่ในวัย 35 ปี และเจ้าตัวก็สามารถสถาปนาฝีเท้าของตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้ง
ชิรูด์ แจ้งเกิดในวงการลูกหนัง นับตั้งแต่ที่เจ้าตัวย้ายเข้าสู่ อาร์เซนอล และผงาดผลงานในถิ่น เอมิเรตส์ ตั้งแต่ฤดูกาล 2012 ถึงฤดูกาล 2018 หลังจากที่ ชิรูด์ ลงสนามทั้งหมด 180 นัด และตะบันประตูในสีเสื้อของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ไปถึง 73 ลูกก่อนที่ในปี 2018 จะย้ายเข้ามาสวมเครื่องแบบให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี และแน่นอนว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี จนถึง ซีซั่น 2021 ชิรูด์ ยิงประตูได้เพียงแค่ 17 ลูก จากการลงสนาม 75 นัด ตลอดทั้งสามฤดูกาลที่อยู่กับ เชลซี แต่สำหรับทุกประตูที่ ชิรูด์ ได้ยิงในให้กับ เชลซี ก็คือประตูสำคัญทั้งหมด
และในซีซั่นที่ผ่านมา (2020 – 21) ชิรูด์ ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก หลังจากที่ เชลซี ภายใต้การนำทัพของ ทูเคิล ไม่เห็นความสำคัญของกองหน้าชาวฝรั่งเศส จนทำให้ ชิรูด์ ตกเป็นตัวเลือกลำดับ 4 ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า จนกระทั่งเจ้าตัวย้ายออกจาก สแตมฟอร์ดบริดจ์ และมี เอซี มิลาน แขนรับเข้าสวมเครื่องแบบให้กับพวกเขาในซีซั่นนี้ และตอนที่ ชิรูด์ ย้ายทีมเจ้าตัวอายุ 34 ปี และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบด้าน โดยเฉพาะสื่อในลีกอิตาลี ต่างก็มองว่า มิลาน ตัดสินใจผิดที่คว้าตัว ชิรูด์ ในวัย 34 ปี เข้าร่วมทีม
แต่หลังจากที่เปิดซีซั่น 2021 – 22 ซึ่ง ชิรูด์ ก็ก้าวเข้าสู่วัย 35 ปี อย่างเต็มตัว ชิรูด์ ก็ไม่ทำให้แฟนบอล เอซี มิลาน ผิดหวัง และได้ลบคำสบประมาทของเหล่าบรรดาสื่อแขนงต่าง ๆ ที่ได้วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของตัวเขาเองในช่วงที่ย้ายเข้ามาเล่นให้กับ เอซี มิลาน ในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ในปัจจุบันนี้ ชิรูด์ ยิงไปแล้วถึง 4 ประตู หลังจากลงเล่น 10 เกมในลีก โดยเฉพาะในเกมที่ 10 ของ ซีซั่น 2021 – 22 ที่ชนะ โตริโน 1 – 0 และชื่อบนสกอร์บอร์ดก็เป็นของ ชิรูด์ และแน่นอนว่า จากชัยชนะเหนือ โตริโน ก็เป็นสถิติใหม่ในรอบ 67 ปี ที่ เอซี มิลาน สามารถเก็บชัยชนะ 9 จาก 10 เกม หลังจากที่พวกเขาเคยสร้างประวัติศาสตร์นี้เพียงแค่ครั้งเดียวในปีฤดูกาล 1954 – 55 ในปีที่คว้า “สคูเด็ดโด้”