ลีดส์ยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นในนามลีดส์ ซิตี้ ในปี ค.ศ.1904 และเปลี่ยนเป็นลีดส์ ยูไนเต็ดในอีก 16 ปีต่อมา โดยแฟนบอลอังกฤษหลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่าสงครามกุหลาบ นั่นคือการปะทะกันระหว่างลีดส์ ยูไนเต็ดและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดโดยมีที่มาจากการนำประวัติศาสตร์มาโยงกับทีมฟุตบอล 2 ทีมในอังกฤษคือลีดส์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเนื่องมาจากลีดส์ ยูไนเต็ดเป็นทีมที่ก่อตั้งขึ้นในแถบยอร์คเชียและใช้สีประจำสโมสรเป็นสีขาวรวมทั้งตราสโมสรก็ยังมีดอกกุหลาบสีขาวซึ่งก็ตรงกันกับราชวงศ์ยอร์กในอดีต ที่อาศัยอยู่แถบนั้นและใช้สัญลักษณ์ประจำตระกูลและธงในการออกรบเป็นดอกกุหลาบสีขาว ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นเป็นทีมที่ก่อตั้งขึ้นในแถบแลงคาเชียร์ และใช้สีประจำสโมสรเป็นสีแดงซึ่งไปตรงกับราชวงศ์แลงคาสเตอร์ที่อาศัยอยู่แถบนั้นเช่นเดียวกันและใช้สัญลักษณ์ประจำตระกูลและธงในการออกรบเป็นดอกกุหลาบสีแดง โดยสองตระกูลเคยทำสงครามสู้รบกันในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เมื่อทั้งสองทีมมีคิวต้องฟาดแข้งกันก็มักจะถูกโยงถึงประวัติศาสตร์เรื่องนี้โดยเรียกเกมการแข่งขันนี้ว่า “แมตซ์สงครามกุหลาบ”
การคิดการณ์ใหญ่แต่ไปไม่ถึงฝันของประธานสโมสร หลังจากที่พวกเขาสามารถพาตัวเองมาอยู่ในเวทีพรีเมียร์ลีกได้ ลีดส์ ยูไนเต็ดพยายามพัฒนาตัวเองจากทีมขนาดกลางเพื่อเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษ ในปี 1998 ภายใต้การบริหารของปีเตอร์ ริดส์เดล นายใหญ่ของทีม ณ ขณะนั้นมีนโยบายเพ้อฝันเกินตัว พวกเขากู้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อตัวนักเตะเก่งเข้ามาสู่ทีม นักเตะดาวดังเช่น จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, เดวิด แบ็ตตี้, แดนนี่ มิลส์, ไมเคิล ดูเบอร์รี่ , ไมเคิล บริดจ์เจส, ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้, โอลิวิเยร์ ดากูร์, มาร์ก วิดูก้า, โดมินิค มัตเตโอ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ต่างทยอยตบเท้าเข้ามาเป็นผู้เล่นให้กับทีม “ยูงทอง” ซึ่ง ลีดส์ ก็ทำผลงานได้ดี โดยจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ในปี 1999, อันดับ 3 ในปี 2000, และอันดับ 4 ในปี 2001 แต่เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนเงินกู้มหาศาลพร้อมดอกเบี้ย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารนักเตะดาวดังทำให้ลีดส์ต้องพบปัญหาด้านการเงิน แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ในฤดูกาล 2001-2002 กลับกู้เงินเพิ่มเพื่อซื้อนักเตะอย่าง เซธ จอห์นสัน, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ ร็อบบี้ คีน เพื่อหวังจะคว้าตั๋วไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปเพื่อรับรายได้มหาศาลมาชดเชย แต่พวกเขาพลาดจบดับที่ 5 ทำให้ซีซั่นถัดมาต้องขายนักเตะดาวดังหลายคนออกไป ทั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์, ร็อบบี้ คีน, ลี โบวเยอร์, โจนาธาน วู้ดเกต และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ จนฤดูกาลนั้นพวกเขาตกไปอยู่อันดับที่ 15 เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังต้องปล่อยนักเตะอีกหลายคนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในฤดูกาลถัดมาทั้ง แฮร์รี่ คีลล์, โอลิวิเยร์ ดากูร์, ไนเจล มาร์ติน, ไมเคิล บริดจ์เจส, แดนนี่ มิลส์ สุดท้ายพวกเขาก็ไปไม่รอดต้องตกชั้นไปเล่นในเวทีเดอะเปี้ยนชิพในที่สุด โดยใช้เวลากว่า 16 ปี ถึงได้กลับมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง